ที่มาของราชาศัพท์ในภาษาไทย
ราชาศัพท์ หมายถึง คำศัพท์ และสำนวนที่ใช้สำหรับพระราชาและพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งรวมทั้งคำที่คนอื่นใช้ในการพูดกับพระราชวงศ์ และในการพูดถึงพระราชวงศ์ด้วย ภาษาไทยมีการใช้ราชาศัพท์มาตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันได้แน่นอน แต่จากการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะภาษาและถ้อยคำในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยและในเอกสารอื่นได้พบว่า มีการเลือกใช้คำบางคำ เพื่อแสดงความเคารพนบนอบที่มีต่อพระภิกษุสงฆ์และชนชั้นผู้ปกครองประเทศประเทศเป็นพิเศษกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง เช่น ใช้คำว่า นบ แทนคำว่า ไหว้ เมื่อใช้แก่ พระ พระพุทธรูป หรือ พระพุทธบาท เป็นต้น เช่น
๑๙ ท่านแต่งช้างเผือ
๒๐ อกกระพัดลยางเที้ยรย่อมทองงา (ซ้าย) ขวา ชื่อรูจาครี
๒๑ พ่อขุนรามคำแหง ขึ้นขี่ไปนบพระ...
(จารึกหลักที่ ๑ หน้า ๓ บรรทัด ๑๙-๒๑)
๒๐ อกกระพัดลยางเที้ยรย่อมทองงา (ซ้าย) ขวา ชื่อรูจาครี
๒๑ พ่อขุนรามคำแหง ขึ้นขี่ไปนบพระ...
(จารึกหลักที่ ๑ หน้า ๓ บรรทัด ๑๙-๒๑)
๓๘ ...พระยาศรีสุริ (ย) พงศ์ราม (มหา) ธรรมราชา
๓๙ ธิราช จึงจักยืนย่อมือนบพระพุทธ
๔๐ ทองนบทั้งพระปิฎกไตร...
๔๑ บไว้ที่นั้น นบทั้งมหาสามีสังฆราช
๔๒ จึงจักอธิษฐานว่าดังนี้ด้วย
(จารึกหลักที่ ๕ หน้า ๓ บรรทัด ๓๘-๔๒)
๓๙ ธิราช จึงจักยืนย่อมือนบพระพุทธ
๔๐ ทองนบทั้งพระปิฎกไตร...
๔๑ บไว้ที่นั้น นบทั้งมหาสามีสังฆราช
๔๒ จึงจักอธิษฐานว่าดังนี้ด้วย
(จารึกหลักที่ ๕ หน้า ๓ บรรทัด ๓๘-๔๒)
๒๑ ...ผู้ใดได้ขึ้น
๒๒ นบรอยฝ่าตีนพระพุทธเจ้าเราเถิงเหนือ
๒๓ จอมเขาสุมนกูฏบรรพตนี้
(จารึกหลักที่ ๘ ด้าน ๑ บรรทัด ๒๑-๒๓)
๒๒ นบรอยฝ่าตีนพระพุทธเจ้าเราเถิงเหนือ
๒๓ จอมเขาสุมนกูฏบรรพตนี้
(จารึกหลักที่ ๘ ด้าน ๑ บรรทัด ๒๑-๒๓)
ใช้คำว่า โอยทาน ในการทำบุญ เช่น
๒๘ พ่อขุนรามคำแหงกระทำ
๒๙ โอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร
(จารึกหลักที่ ๑ ด้าน ๒ บรรทัด ๒๘-๒๙)
๒๘ พ่อขุนรามคำแหงกระทำ
๒๙ โอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร
(จารึกหลักที่ ๑ ด้าน ๒ บรรทัด ๒๘-๒๙)
ใช้คำว่า ทรงศีล แปลว่า ถือศีล ทั้งสำหรับพระราชาและคนทั่วไป เช่น
๘ คนในเมืองสุโขทัยนี้
๙ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหง
๑๐ เจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง...
๑๑ ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง
๑๒ ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีล เมื่อพรร
๑๓ ษาทุกคน...
(จารึกหลักที่ ๑ ด้าน ๒ บรรทัด ๘-๑๓)
๘ คนในเมืองสุโขทัยนี้
๙ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหง
๑๐ เจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง...
๑๑ ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง
๑๒ ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีล เมื่อพรร
๑๓ ษาทุกคน...
(จารึกหลักที่ ๑ ด้าน ๒ บรรทัด ๘-๑๓)
แต่ในจารึกต่าง ๆ ในสมัยสุโขทัย ชนชั้นผู้ปกครองคือ พระเจ้าแผ่นดินในสมัยนี้ยังไม่มีการใช้ราชาศัพท์ในลักษณะที่ใช้คำที่แตกต่างไป หรือมีการประกอบคำอย่างคำราชาศัพท์ในปัจจุบัน เช่น พ่อขุนรามคำแหง พูดถึงสมเด็จพระราชบิดาพระราชมารดาว่า "พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง" ในชั้นนี้จึงอาจจะพอสันนิษฐานว่าในสมัยสุโขทัยมีการใช้คำบางคำกับบุคคลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเคารพเลื่อมใสสูงสุด แต่ยังมิได้มีคำราชาศัพท์ที่จะใช้กับชนชั้นผู้ปกครองอย่างในปัจจุบัน มาจนถึงระยะหลังของสุโขทัย เมื่อชนชั้นปกครองมีอำนาจมากขึ้นเนื่องจากต้องปกครองพระราชอาณาเขตซึ่งขยายออกไปกว้างใหญ่ ความใกล้ชิดระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยสุโขทัยตอนต้นจึงไม่อาจกระทำได้ และเกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นขึ้น แต่การยกชั้นปกครองนั้นน่าจะมิใช่แบบเทวราชาของเขมร หากเป็นธรรมราชาซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำทางศาสนาด้วย ถ้อยคำซึ่งใช้ในทางศาสนาจึงถูกนำมาใช้กับพระราชาด้วย คำที่ใช้กับชนชั้นปกครองกับคำที่ใช้กับบุคคลทางศาสนาส่วนหนึ่งจึงเหมือนกัน เช่น ใช้คำว่า เสด็จ ถวาย ทรงเป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ในทางศาสนา มีตัวอย่าง เช่น
๑ แต่พระเสด็จเข้านิพพานได้ ๑๙๑๖ ปี
(จารึกหลักที่ ๔๕ ด้าน ๑ บรรทัด ๑)
๑ แต่พระเสด็จเข้านิพพานได้ ๑๙๑๖ ปี
(จารึกหลักที่ ๔๕ ด้าน ๑ บรรทัด ๑)
๔ เมื่อพระศรีสรรเพชญ์เสด็จมาเป็นพระพุทธ
(จารึกหลักที่ ๔๑ บรรทัด ๔)
(จารึกหลักที่ ๔๑ บรรทัด ๔)
๖ ต่อแต่นี้นายหมื่น, ราชปลัด หรือขุนไถ่นาใส่ตั้งแต่
๗ เขาถึงโดนนี้แล ท่านถวายเป็นนาพระพุทธเจ้า
(จารึกหลักที่ ๕๕ บรรทัด ๖-๗)
๗ เขาถึงโดนนี้แล ท่านถวายเป็นนาพระพุทธเจ้า
(จารึกหลักที่ ๕๕ บรรทัด ๖-๗)
๘๕ เถรมีหมู่สงฆเถรอันทรงธุดงค์ศีลา พระมหาสามี...สี...ถัดฝูง
(จารึกหลักที่ ๒ บรรทัด ๘๕)
(จารึกหลักที่ ๒ บรรทัด ๘๕)
ในภาษาที่ใช้กับชนชั้นปกครอง มีตัวอย่าง เช่น
๑๘ บุญราศีทั้งมวลได้ถวายพระวรโอรสาธิราชธิราชเจ้าตนเป็นเจ้าแผ่นดินเมืองพิงเชียง
๑๙ ใหม่ อันเสด็จมาไหว้แก้วทั้งสามในวิหารเชียงมั่น
(จารึกหลักที่ ๗๖ ด้าน ๑ บรรทัด ๑๘-๑๙)
๑๘ บุญราศีทั้งมวลได้ถวายพระวรโอรสาธิราชธิราชเจ้าตนเป็นเจ้าแผ่นดินเมืองพิงเชียง
๑๙ ใหม่ อันเสด็จมาไหว้แก้วทั้งสามในวิหารเชียงมั่น
(จารึกหลักที่ ๗๖ ด้าน ๑ บรรทัด ๑๘-๑๙)
๑๘ พระมาตุราชและพระมาตุจฉาเจ้า และท่านเสด็จขึ้นมาให้ทานช้างเผือกและราชรถแก่พระสงฆ์ทุกเมือง
(จารึกหลักที่ ๔๙ บรรทัด ๑๘)
(จารึกหลักที่ ๔๙ บรรทัด ๑๘)
๑๓ เจ้าพันต่าง เมืองศรีมงคล เอาวัดปราสาทเมือ
๑๔ ถวายแก่สมเด็จบพิตรพระเป็นเจ้าทั้ง
๑๕ สองพระองค์
(จารึกหลักที่ ๖๙ ด้าน ๑ บรรทัด ๑๓-๑๕)
๑๔ ถวายแก่สมเด็จบพิตรพระเป็นเจ้าทั้ง
๑๕ สองพระองค์
(จารึกหลักที่ ๖๙ ด้าน ๑ บรรทัด ๑๓-๑๕)
ในตอนปลายสมัยสุโขทัย มีการใช้คำที่ไพเราะและมีวิธีการที่สร้างสรรค์ภาษาใช้กับพระเจ้าแผ่นดินมากขึ้นทั้งคำเรียกขาน คำบรรยายกิริยาอาการและคำนามทั่วไป ซึ่งน่าจะจัดเป็นราชาศัพท์ได้ แบบอย่างการใช้ราชาศัพท์น่าจะรับมาจากเขมร แต่น่าจะต้องทำความเข้าใจว่าวิวัฒนาการการใช้ราชาศัพท์นั้น เกิดจากพัฒนาการของภาษาในสังคมไทยนั้นเอง กล่าวคือ คนไทยเป็นคนที่มีธรรมชาติอ่อนน้อมถ่อมตน ยกย่องผู้อื่นเป็นลักษณะนิสัยและวัฒนธรรมประจำชาติอยู่แล้ว การพูดจากับผู้ที่ควรเคารพ กับพ่อแม่ กับครูบาอาจารย์ กับพระ จะใช้คำสุภาพอ่อนน้อม ผิดกับถ้อยคำที่ใช้กับคนเท่า ๆ กัน กับผู้น้อยหรือกับผู้ที่ด้อยกว่าตน ลักษณะค่านิยมเช่นนี้เอง ย่อมส่งให้มีการยกย่องบุคคลใน ๒ สถาบัน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันศาสนาด้วย การเคารพยกย่องสถาบันทั้งสองเป็นการยกย่องเคารพที่สูงยิ่งกว่าการให้ความเคารพพ่อแม่ ครูอาจารย์ เพราะเกี่ยวพันกับอำนาจที่อาจมีถึงชีวิต และเกี่ยวพันกับความเชื่อซึ่งมีผลทางจิตใจ การยกย่องและให้ความเคารพนั้นยิ่งจะต้องสูงกว่าปรกติเป็นธรรมดา วัฒนธรรมไทยจึงเป็นแรงผลักดันสำคัญแรงหนึ่งที่ทำให้เกิดการใช้คำราชาศัพท์
หากสังเกตถ้อยคำจากศัพท์ที่ใช้เป็นคำราชาศัพท์จะทราบว่า คำเกือบทั้งหมดเป็นคำภาษาบาลีและสันสกฤต ซึ่งเป็นคำทางศาสนานั่นเอง เห็นได้ชัดว่า คำราชาศัพท์ของไทยผูกพันกับศาสนา และมีที่มาจากเหตุผลทางศาสนา แต่เนื่องจากไทยคุ้นเคยกับเขมร และเขมรมีการใช้ราชาศัพท์อยู่ด้วย ไทยจึงยืมวิธีการสร้างราชาศัพท์แบบเขมรมาใช้ ซึ่งนับเป็นความฉลาดอย่างยิ่งของบรรพบุรุษไทยที่สามารถนำสิ่งที่มีอยู่รอบตัวมาปรับเปลี่ยนใช้ให้เหมาะแก่ความต้องการของเราเอง.
ผู้เขียน : ศ. ดร. กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต ประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย สำนักศิลปกรรม